Apple แนะนำแอพ Clips : วิธีใหม่ของการตัดต่อวิดีโอผ่าน iPhone และ iPad

Apple เปิดตัว Clips แอพใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างวิดีโอบน iPhone และ iPad อย่างสนุกสนานและรวดเร็ว โดยตัวแอพมีฟีเจอร์การออกแบบที่ไม่ซ้ำกันสำหรับใช้รวมวิดีโอ รูปถ่ายและไฟล์เพลงเข้าด้วยกันเป็นคลิปวิดีโอที่สวยงามและสามารถแชร์ให้เพื่อนๆ ดูผ่าน Instagram, Facebook และโซเชียมีเดียอื่นๆ

ในแอพ Clips มีฟีเจอร์ Live Titiles ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำหรับสร้างคำอธิบายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวโดยใช้เสียง นอกจากนี้ยังมีเอฟเฟกต์ให้ใช้งานจำนวนมาก เช่น ฟิลเตอร์ตัวหนังสือการ์ตูน ฟองอากาศคำพูด รูปทรงและภาพเคลื่อนไหวที่จะมาช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างคลิปวิดีโอในสไตล์ของตัวเอง

"Clips ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถแสดงออกผ่านวิดีโอและใช้งานง่ายอย่างเหลือเชื่อ" Susan Prescott รองประธานฝ่ายการตลาดแอพพลิเคชั่นกล่าว "เอฟเฟกต์ ฟิลเตอร์และ Live Titiles อันน่าตื่นตาตื่นใจที่เราออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างคลิปวิดีโอที่น่าชมและแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียได้ง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอน"

Clips ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างคลิปมัลติมีเดียโดยไม่ต้องมีเส้นเวลาและเครื่องมือแก้ไขภาพที่ซับซ้อน เพียงแตะปุ่มเดียวเพื่อบันทึกวิดีโอ ถ่ายภาพหรือเพิ่มไฟล์ภาพจากแกลเลอรี่ จากนั้นฟิลเตอร์ต่างๆ ก็จะโผล่ขึ้นมาให้ใช้งาน ผู้ใช้สามารถเพิ่มโปสเตอร์หรือฉากหลังแบบภาพเคลื่อนไหวพร้อมกับข้อความประกอบ ในแอพ Clips มีเพลงประกอบให้ใช้งานหลายสิบเพลงและสามารถปรับให้เข้ากับความยาวของคลิปวิดีโออัตโนมัติ

ฟีเจอร์ Live Titles เป็นฟีเจอร์ที่ใช้เพิ่มคำอธิบายภาพเคลื่อนไหวโดยใช้เสียง จากนั้นคำบรรยายก็จะถูกสร้างขึ้นและปรากฎบนหน้าจออัตโนมัติเมื่อผู้ใช้งานพูด ผู้ใช้งานสามารถผสมและจับคู่สไตล์ที่แตกต่างกันได้ สามารถปรับข้อความ เครื่องหมายวรรคตอนและเพิ่มอีโมจิแทรกเข้าไปโดยรองรับภาษาต่างๆ ถึง 36 ภาษา

คลิปวิดีโอที่ทำขึ้นผ่าน Clips สามารถแชร์ผ่านแอพโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่างเช่น Instagram, Facebook, Youtube, Vimeo และอื่นๆ อีกมากมาย และถ้าหากผู้ใช้แชร์คลิปกับเพื่อนๆ ผ่านข้อความ ตัวแอพ Clips สามารถแนะนำบุคคลที่ปรากฎอยู่ในเนื้อหาคลิปวิดีโอและบุคคลที่ผู้ใช้งานแชร์คลิปให้ชมบ่อยที่สุดได้โดยการแตะเพียงครั้งเดียว

แอพ Clips จะถูกปล่อยให้ผู้ใช้งาน iOS ดาวน์โหลดผ่าน App Store ได้ฟรีตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป รองรับการทำงานบน iPhone 5s ขึ้นไป / iPad 9.7 นิ้ว (2017) / iPad Air ทุกรุ่น และ iPad Pro ทุกรุ่น / iPad mini 2 ขึ้นไป และ iPod touch (6th gen) โดยอุปกรณ์ที่ใช้งานจะต้องรันแพลตฟอร์ม iOS 10.3 ขึ้นไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

• 
  รีวิว iPhone Air สัมผัสใหม่ของ iPhone ที่เบากว่าเดิมแต่ยังทรงพลังไม่แพ้รุ่นโปร
• 
  realme Watch 5 สมาร์ตวอทช์ดีไซน์คุ้นๆ เหมือนค่ายผลไม้ แต่ราคาต่างกันราวฟ้ากับเหว

ติดตามข่าว สยามโฟน.คอม ที่