หากพูดถึง POCO F Series ในอดีต เรามักจะนึกถึงฉายา "นักฆ่าเรือธง" ที่เน้นความแรงคุ้มราคา แต่การมาถึงของ POCO F8 Ultra ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทางแบรนด์ไม่ได้ต้องการแค่ฆ่าเรือธงค่ายอื่น แต่ต้องการขึ้นเป็นเรือธงเสียเอง ด้วยการอัดแน่นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตลาดสมาร์ตโฟนปัจจุบัน จุดยืนทางการตลาดของรุ่นนี้จึงขยับขึ้นไปท้าชนกับเกมมิ่งโฟนระดับไฮเอนด์และสมาร์ตโฟนเรือธงแบบเต็มตัว โดยชูจุดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมชิปคู่และระบบเสียงที่จับมือกับแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง Bose
หัวใจหลักที่ขับเคลื่อน POCO F8 Ultra ความดุดันของรุ่นนี้คือ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ขุมพลังมังกรเจนใหม่บนสถาปัตยกรรมจิ๋ว 3 นาโนเมตร ที่ผสานการทำงานร่วมกับ VisionBoost D8 ก่อกำเนิดเป็นสถาปัตยกรรมชิปคู่ที่เปรียบเสมือนการมีมันสมองสองก้อนช่วยกันคิด โดยชิปหลักรับหน้าที่เป็นแม่ทัพบัญชาการรีดพลังการประมวลผลและกราฟิก

ในขณะที่ชิป VisionBoost รับบทเป็นเสนาธิการฝ่ายภาพ คอยจัดการเรื่องการขยายความละเอียดภาพด้วย AI และการแทรกเฟรมเรท ทำให้สามารถเล่นเกมระดับ AAA อย่าง Genshin Impact ได้ที่ความละเอียด 1.5K แบบลื่นไหล และที่น่าทึ่งคือฟีเจอร์ WildBoost Optimization หรือระบบปรับแต่งความแรงดั่งสัตว์ป่าที่ช่วยจัดการพลังงาน ทำให้เฟรมเรทเสถียรนิ่งสนิทราวกับเส้นตรงตลอดการเล่น

ภายใต้ความแรงระดับปีศาจ POCO F8 Ultra ได้ซ่อนเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่าระบบวนลูปความเย็นแบบสองชั้น 3 มิติ (3D Dual-channel Dual-layer IceLoop System) กินพื้นที่ระบายความร้อนขนาดมหึมาถึง 6,700 ตร.มม. ซึ่งออกแบบมาให้ครอบคลุมทั้งเมนบอร์ดและชิปประมวลผล ทำให้มั่นใจได้ว่าความร้อนจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการไต่ Rank ของคุณอย่างแน่นอน

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ต้องยกนิ้วให้ POCO F8 Ultra คือระบบเสียง Sound by Bose นี่ไม่ใช่แค่การจูนเสียงธรรมดา แต่เป็นการปฏิวัติฮาร์ดแวร์ด้วยการติดตั้งลำโพงคู่แบบสมมาตรผสานกับซับวูฟเฟอร์แยกอิสระ (Independent Subwoofer) รหัส 1620 ทำให้ POCO F8 Ultra กลายเป็นสมาร์ตโฟนที่มีระบบเสียง 2.1 แชนแนลอย่างแท้จริง การันตีคุณภาพด้วย Hi-Res Audio และ Dolby Atmos โดยผู้ใช้สามารถเลือกโปรไฟล์เสียงได้ 2 แบบคือ Dynamic (เน้นเบสหนักแน่น) และ Balanced (เน้นเสียงร้องชัดเจนและเวทีเสียงกว้าง)

เมื่อพิจารณาจากรูปทรงตัวเครื่องจริง สัมผัสแรก POCO F8 Ultra ที่รู้สึกได้คือความพรีเมียมที่แตกต่างในรุ่นสีน้ำเงิน (Denim Blue) มาพร้อมน้ำหนักตัวเครื่อง 220 กรัม ฝาหลังใช้วัสดุพิเศษ Nano-tech material รุ่นที่ 3 ซึ่งให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวลคล้ายหนังแท้ มีความอุ่นมือและไม่ลื่นหลุดง่าย ที่สำคัญคือทนทานต่อการสึกหรอและคราบสกปรกได้ดีเยี่ยม แตกต่างจากฝาหลังกระจกทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยสีน้ำเงินเดนิมนี้ให้ลุคที่ดูสุขุมแต่แฝงด้วยความทันสมัย ตัดกับโมดูลกล้องสีดำได้อย่างลงตัว หน้าจอได้รับการปกป้องด้วยกระจกนิรภัย POCO Shield Glass ที่ทางแบรนด์เคลมเรื่องความทนทานต่อการขีดข่วนและการตกกระแทก

ดีไซน์ของชุดโมดูลกล้องด้านหลังมีความโดดเด่นด้วยกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ กินพื้นที่ส่วนบนไปเกือบทั้งแถบ สื่อถึงความจริงจังในเรื่องกล้อง เฟรมเครื่องทำจากอะลูมิเนียมอัลลอย ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบและแข็งแกร่งเมื่อสัมผัส ขอบหน้าจอมีความบางเฉียบอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยขอบบนและด้านข้างบางเพียง 1.5 มม. ส่วนขอบล่างบางเพียง 1.68 มม. ทำให้หน้าจอดูเต็มตาเกือบไร้ขอบ

เมื่อสำรวจรอบตัวเครื่อง POCO F8 Ultra จะพบว่าเฟรมโลหะมีขอบกึ่งโค้งมนเล็กน้อยช่วยให้การจับถือเข้ามือ



สเปคของ POCO F8 Ultra
ในด้านประสิทธิภาพ เมื่อดูจากสเปคชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ CPU สูงขึ้น 20% และ GPU แรงขึ้น 23% รวมถึง ความฉลาดของ AI เพิ่มขึ้น 37% และการจัดการพลังงานดีขึ้น 35% จนทำคะแนน AnTuTu ได้ทะลุ 3,944,934 คะแนน บอกได้เลยว่านี่คือปีศาจในคราบสมาร์ตโฟน

การปัดหน้าจอไปมาบนหน้าตาการใช้งาน (Interface) ของ Xiaomi HyperOS 3 ให้ความรู้สึกติดนิ้วและลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด โดยมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Xiaomi HyperIsland ที่แสดงการแจ้งเตือนแบบป๊อปอัปบริเวณแถบสถานะด้านบน และ Xiaomi HyperConnect ที่ช่วยให้การรับส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์ในระบบนิเวศเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ยังมี AI Agent - Gemini ที่ขับเคลื่อนโดย Google ช่วยจัดการงานต่างๆ ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลเชิงลึกไปจนถึงการสร้างภาพและวิดีโอ

สิ่งที่น่าสนใจคือระบบการเชื่อมต่อที่ขับเคลื่อนด้วยชิปฯ Xiaomi Surge T1S Tuner และ T1+ Tuner ซึ่งช่วยบูสต์ประสิทธิภาพสัญญาณมือถือได้ถึง 42%, Wi-Fi และ Bluetooth ดีขึ้น 31% รวมถึง GPS แม่นยำขึ้น 15% พร้อมเทคโนโลยี Xiaomi Offline Communication ที่ช่วยให้ติดต่อสื่อสารได้แม้ในสถานการณ์ที่ไม่มีสัญญาณปกติ ฟีเจอร์ Game Turbo ทำงานร่วมกับชิปฯ VisionBoost เพื่อรีดศักยภาพสูงสุด โดยเฉพาะในเกมยอดฮิตอย่าง Call of Duty: Mobile และ Honkai: Star Rail ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ

หน้าจอแสดงผลสีสันสดใสและคมชัดมากด้วยเทคโนโลยี HyperRGB ที่ประหยัดพลังงานดีขึ้น 19.5% และยังมี โหมดอีบุ๊ก (E-book Mode) ที่ปรับการแสดงผลให้อ่านสบายตาเหมือนกระดาษ ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ 6500mAh นั้นทางแบรนด์เคลมว่าสามารถ ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า 15 ชั่วโมง หรือเล่นเกมติดต่อกันได้ถึง 10 ชั่วโมง เลยทีเดียว


ในส่วนของการถ่ายภาพ กล้องหลักใช้โครงสร้างเลนส์แบบ 1G+6P (ชิ้นเลนส์แก้ว 1 ชิ้น ผสมพลาสติก 6 ชิ้น) ช่วยให้ภาพใสเคลียร์และลดแสงแฟลร์ได้ดีเยี่ยม ส่วนกล้องเทเลโฟโต้ 5x มาพร้อม โมเดลการถ่ายภาพคำนวณด้วย AI ขนาดใหญ่ ที่ช่วยขยายระยะซูมไปได้ถึง 20 เท่า (UltraZoom) โดยยังคงรายละเอียดที่คมชัด พร้อมโหมด Super Moon ที่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อถ่ายดวงจันทร์ และฟีเจอร์ Motion Capture ที่ช่วยจับภาพวัตถุเคลื่อนที่เร็วๆ ได้อยู่นิ่งสนิท นอกจากนี้ในโหมดวิดีโอยังมีฟิลเตอร์ภาพยนตร์ (Film Filters) ใหม่ให้เลือกใช้สร้างอารมณ์ภาพยนตร์ได้ทันที ส่วนกล้องหน้า 32MP ก็ฉลาดพอที่จะปรับเป็นมุมกว้าง 0.8x อัตโนมัติเมื่อตรวจพบว่ามีคนในเฟรมหลายคน

POCO F8 Ultra คือบทพิสูจน์ว่า POCO พร้อมแล้วที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ด้วยการใส่สเปคที่จัดเต็มเกินเบอร์มาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ตที่แรงที่สุด แบตเตอรี่ขนาดมหึมา 6500mAh ที่หาตัวจับยากในกลุ่มเรือธงและระบบเสียง Bose 2.1 Channel ที่เป็นฟีเจอร์ไม้ตาย

รุ่นนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและคนรักความบันเทิงที่เสพติดการดูหนังฟังเพลงผ่านลำโพงสมาร์ตโฟน ในส่วนของราคาค่าตัวนั้นต้องบอกว่าทำออกมาได้น่าประทับใจเมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ โดยราคาเปิดตัวในไทยเริ่มต้นที่ 24,990 บาท สำหรับรุ่นความจุ 12GB+256GB และขยับไปที่ 26,990 บาท สำหรับรุ่นท็อป 16GB+512GB หากคุณยอมรับขนาดตัวเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่และน้ำหนักที่ตึงมือแลกกับความแรงระดับปีศาจ นี่คือสมาร์ตโฟนที่คุ้มค่าที่สุดในวินาทีนี้

จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท