สมาร์ทโฟน (Smartphone) | วันที่ : 24 พฤศจิกายน 2560
หลังจากที่ปล่อยให้แฟนๆ ชาวไทยที่เป็นสาวก Apple รอคอยกันพักใหญ่ในการเปิดวางจำหน่าย iPhone X อย่างเป็นการในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 โดยมีดีไซน์แปลกใหม่จาก iPhone รุ่นก่อนหน้าทั้งหมด แถมยังมีฟีเจอร์การปลดล็อกใบหน้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในนาม "Face ID" ซึ่งนี่ก็ถือเป็นสมาร์ทโฟนเพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีในการผลิต iPhone นับตั้งแต่รุ่นแรกในปี 2007 และด้วยโอกาสนี้ เราจึงอยากจะพาทุกคนย้อนกลับไปดูถึงวิวัฒนาการและจุดเด่นตั้งแต่ยุคบุกเบิกตั้งแต่รุ่นแรกถึงยุคปัจจุบัน

iPhone รุ่นแรก (The original iPhone)
ย้อนกลับไปใน 2007 iPhone รุ่นแรกได้ถือกำเนิดขึ้น จนแทบจะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่เข้ามาเปลี่ยนเทคโนโลยีของโลกนี้ไปทั้งใบ ด้วยการที่มีจุดเด่น คือ ฟีเจอร์ Multitouch และคีบอร์ดแบบดิจิตอล

iPhone 3G
ต่อมาในปี 2008 iPhone รุ่นแรกได้ถูกปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้มีความเรียบง่ายมากขึ้น ทั้งยังมีการรองรับสัญญาณเครือข่ายมือถือแบบ 3G และอนุญาตให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ด้วย

iPhone 3GS
iPhone 3GS ได้เปิดตัวในปี 2009 โดยที่ได้ใส่ตัว "S" (Speed) เพิ่มเข้าไป โดยได้ปรับเปลี่ยนด้านหน่วยประมวลผลที่มีความเร็วขึ้น และรองรับสัญญาณ 3G ที่ดีกว่าเดิม ขณะที่ทาง Apple ก็กำลังเริ่มผลิตสมาร์ทโฟนที่รองรับสัญญาณ 4G ด้วยในปีเดียวกันนี้

iPhone 4
มาถึงปี 2010 Apple ได้เปิดตัว iPhone 4 ที่ทำการปรับดีไซน์ใหม่อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ปุ่มรอบตัวเครื่องที่่เปลี่ยนจากแบบขีดยาวมาเป็นปุ่มกลม ส่วนด้านตัวเครื่องก็ตัดความโค้งบริเวณหลังตัวเครื่องออกไป โดยในรุ่นนี้มีจุดเด่นอย่างเห็นได้ชัด คือ การนำเทคโนโลยีหน้าจอ Retina Display เข้ามาใช้ และรองรับการวิดีโอคอล FaceTime อย่างไรก็ตาม iPhone 4 ก็โดนปัญหาเรื่องเสาสัญญาณที่ขาดๆ หายๆ (Antennagate) จนกลายเป็นประเด็นอยู่พักใหญ่

iPhone 4s
ในปี 2011 ตัวว่า "S" ไม่ใช่คำว่า "Speed" อีกต่อไป แต่กลายเป็น "Siri" ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ให้ผู้ใช้งานใช้คำสั่งเสียงสั่งการได้ ทั้งยังปรับเปลี่ยนให้ระบบกล้องมีความละเอียดสูงขึ้น (จากความละเอียด 5 ล้านพิกเซลใน iPhone 4 เป็น 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 4s)
iPhone 5
ถัดมาในปี 2012 Apple ได้ปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ใน iPhone อีกครั้ง เริ่มด้วยการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จแบตเตอรี่จากพอร์ต 30-pin เป็นพอร์ต Lightning ในปัจจุบัน และเพิ่มการรองรับสัญญาณ 4G LTE เข้ามาอีกด้วย

iPhone 5s
ในรุ่นปี 2013 นี้เป็นรุ่นแรกที่รองรับระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) โดยมีการใช้หน่วยประมวลผลช่วยอย่าง M7 motion ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการประมวลผลของการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, การวิ่ง และการขับรถ เป็นต้น

iPhone 5c
สำหรับ iPhone 5c ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เปิดตัวในปี 2013 โดยความพิเศษของรุ่นคือความสดใสและราคาที่ถูกลงกว่ารุ่นหลักค่อนข้างเยอะพอสมควร เนื่องจากวัสดุที่ทำจากพลาสติก, มีหน่วยความจำที่น้อยกว่ารุ่นหลัก และไม่ได้ติดตั้งระบบ Touch ID เข้ามาให้

iPhone 6 / iPhone 6 Plus
ใกล้มาถึงยุคปัจจุบันอย่างปี 2014 กับ 2 รุ่นใหม่ ได้แก่ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่มาพร้อมกับรุ่นหน้าจอขนาดใหญ่ครั้งแรกของ Apple โดยได้เพิ่มการรองรับชำระเงินจาก Apple Pay เป็นรุ่นแรก และในส่วนของ iPhone 6 Plus ก็ได้เพิ่มฟีเจอร์กันสั่นไหว (OIS) ในระบบกล้องเข้าไป เพื่อให้ผู้ใช้งานถ่ายภาพได้สะดวกและสวยงามมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็เกิดเป็นประเด็นดังขึ้นมาเมื่อรุ่นนี้เกิดอาการงอของตัวเครื่องกับผู้ใช้หลายราย

iPhone 6s / iPhone 6s Plus
iPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2015 และกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รองรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G LTE ในขั้นสูง (LTE Advanced) และเปลี่ยนระบบ 3D Touch เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รู้สึกถึงการกดปุ่มในหลายระดับ ทั้งยังแก้ไขปัญหาการงอของตัวเครื่องจาก iPhone 6 ได้อย่างยอดเยี่ยม
iPhone SE
ในรุ่นนี้ได้เปิดตัวในปี 2016 (ช่วงต้นปี) โดยทาง Apple ต้องการให้ iPhone SE มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่เหมือนกับรุ่นท็อปตามปกติแทบทั้งหมด แต่มีดีไซน์ที่แตกต่างเล็กน้อย ขนาดหน้าจอแสดงผลที่เล็กลงอยู่ที่ 4 นิ้ว และราคาที่น้อยลง

iPhone 7 / iPhone 7 Plus
ในช่วงปลายปี 2016 ที่ถือเป็นการเปิดตัวตามกำหนดของ Apple ที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นหลัก โดยในปีดังกล่าวก็คือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่ทางบริษัทยังคงดีไซน์แบบเดียวกับ iPhone 6 และ iPhone 6s ส่งผลให้รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นแรกที่ไม่ได้ปรับดีไซน์ในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของซอร์ฟแวก็ถูกพัฒนาขึ้น ทั้งหน่วยประมวลผล และความละเอียดของกล้องหน้า

ส่วนรุ่น iPhone 7 Plus นั้น เป็นรุ่นแรกของ Apple ที่มีกล้องหลังคู่ด้วยความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ทั้งยังตัดทิ้งช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรไป เพิ่มโทนตัวเครื่องสีดำ (Jet black) แบบใหม่ และมีมาตรฐานกันน้ำระดับ IP67

iPhone 8 / iPhone 8 Plus / iPhone X
และมาถึงในปี 2017 ปีล่าสุดนี้ ทาง Apple ก็ได้ทำการเปิดตัวถึง 3 รุ่น ซึ่งเราจะขอมาพูดถึงตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus กันก่อน โดย 2 รุ่นนี้มีดีไซน์แบบใหม่ด้วยวัสดุจากกระจกที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ได้ปรับเปลี่ยนอย่างมากในส่วนของระบบซอร์ฟแวร์ภายในเริ่มตั้งแต่หน่วยประมวลผล A11 Bionic สถาปัตยกรรม 64 บิต, RAM 3 GB และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 11 รุ่นใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่น ก็จะเป็นระบบกล้องหลังเดี่ยวและกล้องหลังคู่ที่อยู่ใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ตามลำดับ

มาถึงรุ่นล่าสุดและเป็นรุ่นพิเศษที่ฉลองครบรอบ 10 ปี อย่าง iPhone X ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่ต่างไปจากรุ่นอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยทำการตัดปุ่มโฮมออกไป และมีการเว้นขอบด้านบนระหว่างกลางของหน้าจอเท่านั้น ซึ่งมีจุดเด่นอยู่หลายอย่างที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนี้

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับวิวัฒนาการของ iPhone ตั้งแต่รุ่นบุกเบิกถึงรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone X ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย โดยเราก็ต้องมาดูกันว่า Apple จะมีอะไรให้เราได้ลุ้นกันอีกในปี 2018 กับ iPhone รุ่นใหม่
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : www.cnbc.com วันที่ : 24 พฤศจิกายน 2560
รีวิว iPhone Air สัมผัสใหม่ของ iPhone ที่เบากว่าเดิมแต่ยังทรงพลังไม่แพ้รุ่นโปร
รีวิว iPhone 17 Pro Max พี่ใหญ่ยังตึงเหมือนเดิม ครบเครื่องด้วย A19 Pro กล้องถ่ายรูปอัปเกรดทั้งหน้...
รีวิว iPhone 17 ซื้อรุ่นธรรมดาแต่ได้ฟีล Pro การอัปเกรดที่คุ้มค่าที่สุด
รีวิว iPhone 17 Pro ปรับมาใช้อะลูมิเนียมบอกลาความร้อนสะสม พร้อมชิป A19 Pro ทั้งเร็วทั้งประหยัดพลั...
พรีวิว iPhone 17 Pro Max การกลับมาของอะลูมิเนียม และปรับโฉมโมดูลกล้องเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
Samsung Galaxy A07 5G โผล่ทดสอบ Geekbench! ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 6300 พร้อมรัน Android 16 ตั้งแต่แ...
HONOR X9d 5G สมาร์ตโฟนสุดทน พร้อมรับแรงกระแทกทั่วไทย ในราคาหมื่นต้นๆ
iQOO 15 ส่งความแรงถึงไทย สมาร์ตโฟนชิปกราฟฟิกแยก Q3 ประสบการณ์ภาพแบบคอนโซล
HUAWEI FreeBuds Pro 5 หูฟังไร้สาย TWS มาพร้อมชิป Kirin A3 รับรองเสียง Lossless สตีมมิ่ง 4.6Mbps
Nubia V80 Design ได้หน้าจอกว้างขึ้น 6.75 นิ้ว และเพิ่ม Dynamic RAM ได้สูงสุด 20GB
Nothing Phone (3a) Lite เริ่มวางขายในไทย ชิปเซ็ต Dimensity 7300 Pro หน้าจอ AMOLED รีเฟรช 120Hz