พาชมโรงงานฐานการผลิตระดับโลก เบื้องหลังความสำเร็จของ OPPO ที่ฉงชิ่ง

ถ้าสมาร์ทโฟนคือเทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด โรงงานก็คือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนั้น และหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่สำคัญของ OPPO ในวันนี้ ก็คือ “โรงงานอัจฉริยะที่เมืองฉงชิ่ง” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สวนเทคโนโลยีระบบนิเวศอัจฉริยะ OPPO (ฉงชิ่ง)” ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำของเมืองอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของจีน โรงงานแห่งนี้คือกำลังหลักในการผลิตสมาร์ตโฟนหลายล้านเครื่องในแต่ละเดือน ส่งออกไปสู่ผู้ใช้มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก

โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2016 จากการลงนามความร่วมมือระหว่าง OPPO และรัฐบาลเขตอวี่เป่ย ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างศูนย์กลางการผลิตและโลจิสติกส์ที่สามารถรองรับการเติบโตระยะยาวของแบรนด์ในระดับสากล ใช้งบลงทุนสูงถึง 7.7 พันล้านหยวน บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ และเปิดดำเนินการเฟสแรกในปี 2019 ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ได้กลายเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ OPPO ทั่วโลก และกำลังอยู่ในระหว่างการขยายพื้นที่สำหรับเฟสที่สอง ซึ่งจะยิ่งเสริมศักยภาพในการผลิตให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

สิ่งที่ทำให้โรงงาน OPPO ที่ฉงชิ่งโดดเด่นไปกว่าโรงงานผลิตทั่วไป คือแนวคิดการออกแบบพื้นที่ให้เป็นมากกว่าสถานที่ผลิตสินค้า แต่เป็น “ระบบนิเวศของนวัตกรรม” ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัย โรงงานผลิต คลังสินค้า หอพักพนักงาน ไปจนถึงเส้นทางเดินสีเขียวที่กระจายอยู่รอบบริเวณ ทั้งหมดนี้ทำให้พื้นที่กว่า 1,500 ไร่ กลายเป็นเมืองขนาดย่อมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความยั่งยืน และคุณภาพชีวิตของคนทำงานไปพร้อมกัน

ในด้านการผลิต โรงงานได้รับการออกแบบให้รองรับกระบวนการผลิตแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การติดตั้งชิ้นส่วน การประกอบขั้นสุดท้าย ไปจนถึงการทดสอบคุณภาพและการบรรจุสินค้าเพื่อเตรียมส่งออก จุดแข็งสำคัญคือการรวมทุกขั้นตอนไว้ภายในพื้นที่เดียวกัน ช่วยลดการขนส่งภายใน เพิ่มความแม่นยำ และควบคุมคุณภาพได้แบบเรียลไทม์ตลอดทุกกระบวนการ

กระบวนการผลิตภายในโรงงานเริ่มต้นจากสายการผลิต SMT (Surface Mount Technology) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการประกอบแผงวงจรหลักของสมาร์ทโฟน ที่นี่ใช้เครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง สามารถติดตั้งชิ้นส่วนขนาดเล็กระดับไมโครเมตรได้อย่างแม่นยำ โดยในแต่ละเดือนสามารถผลิตแผงวงจรได้มากถึงหลายล้านชิ้น ชิ้นส่วนเหล่านี้จะผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพแบบอัตโนมัติ (AOI) ที่สามารถสแกนและตรวจจับข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

หลังจากการประกอบแผงวงจร จะเข้าสู่กระบวนการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly) ซึ่งประกอบไปด้วยการติดตั้งหน้าจอ กล้อง แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอื่น ๆ เข้ากับตัวเครื่อง สมาร์ทโฟนแต่ละเครื่องจะถูกประกอบและทดสอบในไลน์ที่ออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีหุ่นยนต์ทำงานร่วมกับแรงงานมนุษย์ในจุดที่ต้องการความยืดหยุ่นหรือการควบคุมคุณภาพอย่างละเอียด

เมื่อประกอบเสร็จ สมาร์ทโฟนจะเข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบคุณภาพ ครอบคลุมทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบอุณหภูมิที่ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส ทดสอบแรงตกกระแทก การกันน้ำ การทำงานของกล้อง และประสิทธิภาพแบตเตอรี่ สมาร์ทโฟนทุกเครื่องต้องผ่านมาตรฐานคุณภาพที่ OPPO กำหนดไว้ ก่อนจะถูกบรรจุและส่งออกไปยังตลาดในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากศักยภาพด้านการผลิต โรงงาน OPPO ที่ฉงชิ่งยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แบรนด์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ที่นี่มีการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดำเนินงานภายใต้แนวคิดคาร์บอนต่ำ โดย OPPO ได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยคาร์บอนลงอย่างต่อเนื่อง และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนต่ำภายในปี 2050 ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญของแบรนด์ในระดับโลก

โรงงาน OPPO ที่ฉงชิ่งจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ประกอบสมาร์ทโฟน แต่เป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรมด้านการผลิต และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไว้ในที่เดียวกัน ความสำเร็จของ OPPO ในระดับโลกในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากรากฐานที่มั่นคงและการมองการไกล ฐานการผลิตที่ไม่ได้สร้างแค่ผลิตภัณฑ์ แต่ยังสร้างคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความเชื่อมั่นที่เดินทางไปพร้อมกับสมาร์ทโฟนทุกเครื่องทั่วโลก

บทความที่เกี่ยวข้อง

• 
  รีวิว OPPO Reno13 Series 5G นำทุกเทรนด์ด้วย OPPO AI อัปเกรดด้วย AI Livephoto ที่ดีที่สุด
• 
  สรุปจุดเด่นและสเปค OPPO Reno13 F 5G กันน้ำ IP69 โปรเดือดรับสงกรานต์ของแถมฟรี 7,999 บาท

ติดตามข่าว สยามโฟน.คอม ที่