ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) | วันที่ : 4 สิงหาคม 2568
หากคุณเคยเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประเภทต่างๆ มาก่อน คงสังเกตได้ไม่ยากว่าประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 มักมีราคาแพงกว่าชั้น 2+ อยู่พอสมควร บางครั้งอาจสูงกว่าเกือบเท่าตัว หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า “ในเมื่อชั้น 2+ ก็ครอบคลุมกรณีชนแล้ว แล้วจะจ่ายแพงกว่าทำไม ?” คำตอบของคำถามนี้อาจไม่ได้มีเพียงมุมเดียว เพราะเรื่องความคุ้มค่านั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้รถ พฤติกรรมขับขี่ ความเสี่ยง และความพร้อมด้านการเงินของแต่ละคน บทความนี้จะพาคุณมาพิจารณาอย่างละเอียดว่า ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่ดูราคาแพงกว่าจริงๆ แล้ว “คุ้ม” หรือ “เกินจำเป็น” กันแน่

เข้าใจความต่างก่อนตัดสินใจ
ก่อนจะตัดสินใจว่าประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 คุ้มค่าหรือไม่ เราควรมาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2+ ให้ชัดเจน เพราะแม้ทั้งสองแบบจะดูใกล้เคียงกันในแง่ของความคุ้มครองกรณีชนกับยานพาหนะ แต่รายละเอียดลึกๆ กลับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นกรณีชนกับยานพาหนะอื่นที่มีคู่กรณี หรือชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น เผลอถอยชนเสา ขูดกำแพง หรือโดนของหล่นใส่ ซึ่งประกันชั้น 2+ จะไม่คุ้มครองในกรณีเหล่านี้
นอกจากนี้ ชั้น 1 ยังคุ้มครองในกรณีที่รถสูญหาย ถูกขโมย หรือเกิดไฟไหม้ และยังรวมถึงภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ที่ถือเป็นความเสียหายรุนแรงซึ่งมีต้นทุนการซ่อมแซมสูง ในขณะที่ประกันชั้น 2+ แม้จะคุ้มครองกรณีไฟไหม้หรือรถหายเช่นกัน แต่เรื่องน้ำท่วมนั้นจะครอบคลุมเฉพาะบางแผนประกันเท่านั้น

อีกทั้งทั้งสองชั้นต่างก็ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเหมือนกัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร แต่จุดชี้ขาดที่ทำให้ประกันชั้น 1 เหนือกว่าคือ “การดูแลตัวรถของคุณเองในทุกกรณี” โดยไม่ต้องมีข้อแม้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด หรือมีคู่กรณีหรือไม่
เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่าประกันชั้น 1 คือแผนความคุ้มครองที่ครอบคลุมแทบทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของผู้ขับขี่ หรือภัยที่ยากจะควบคุมอย่างน้ำท่วมและการโจรกรรม ขณะที่ประกันชั้น 2+ แม้จะช่วยประหยัดเบี้ย แต่ความคุ้มครองก็มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะหากคุณต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของตัวเองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณีเข้ามาเกี่ยวข้อง
คำว่า “คุ้ม” ต้องดูที่ความเสี่ยง
คำถามว่า “ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1คุ้มราคาไหม ?” จึงควรถามกลับว่า รถของคุณมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์เหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ?
มองประกันชั้น 1 ให้เหมือนร่มกันฝนพรีเมียม
ต่อให้วันนี้แดดจ้า แต่เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่พายุจะมา ประกันชั้น 1 ก็คือร่มกันฝนที่พร้อมรับมือกับ “ทุกสถานการณ์” ไม่ว่าจะเจอฝนตกกะทันหัน (อุบัติเหตุไม่คาดฝัน), พื้นลื่นล้มเอง (ชนแบบไม่มีคู่กรณี), หรือแม้แต่ฟ้าผ่า (รถหาย-ไฟไหม้) ก็ยังครอบคลุม ในขณะที่ประกันชั้น 2+ เปรียบเสมือนร่มกันฝนที่พอใช้ได้เฉพาะบางจังหวะ เช่น ฝนตกเบาๆ และคุณยังเดินในทางที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง
คำนวณความคุ้มครองเชิงตัวเลข
สมมติว่าคุณทำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 กับทุนประกัน 500,000 บาท ราคาเบี้ยปีละ 15,000 บาท เทียบกับประกันชั้น 2+ เบี้ยประมาณ 7,000 บาท ความต่างคือประมาณ 8,000 บาทต่อปี
หากในหนึ่งปีเกิดเหตุขูดรถเองโดยไม่มีคู่กรณี หรือถูกน้ำท่วมหนักจนต้องซ่อมเครื่องยนต์ ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งถึง 30,000–80,000 บาท ซึ่งคุณต้องจ่ายเองเต็มๆ หากถือประกัน 2+
ในมุมนี้ เบี้ยที่จ่ายเพิ่มใน ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แทบจะ “คุ้มราคา” ตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุแล้ว

ประกันชั้น 1 แพงกว่า… แต่ก็คุ้มกว่าในหลายกรณี
ไม่ใช่ทุกคนจำเป็นต้องทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 หากคุณใช้รถน้อย ขับดีมาก จอดในที่ปลอดภัย และพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเองได้ การเลือกชั้น 2+ ก็เพียงพอในหลายกรณี
แต่สำหรับคนที่ต้องการความสบายใจสูงสุด ไม่อยากเสี่ยงเจ็บทั้งรถและเงินในวันที่เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ประกันชั้น 1 คือคำตอบที่ “คุ้มค่ากับความอุ่นใจ” ในระยะยาว แม้ต้องจ่ายมากกว่าเล็กน้อย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความมั่นใจเต็มร้อย ว่าคุณจะไม่ต้องเดินเรื่องซ่อมรถคนเดียวแน่นอน
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
วันที่ : 4 สิงหาคม 2568
moto G57 Power แบตเตอรี่อึด 7,000mAh พร้อมชิปฯ Snapdragon 6s Gen 4 รุ่นแรกของโลก
POCO F8 Series ประกาศวันเปิดตัว พร้อมเรียกน้ำย่อยด้วยดีไซน์ กับสเปคบางส่วน
realme C85 Series 5G ลุยได้ทุกจังหวะชีวิตด้วยแบต 7000mAh ราคาเริ่มต้น 5,xxx
5 สมาร์ตโฟนจอใหญ่ ถนอมสายตา เหมาะกับผู้สูงอายุ ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025
สุดยอดสมาร์ตโฟนถ่ายวิดีโอดีที่สุดสำหรับสาย YouTuber ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025
iQOO 15 พร้อมลุยตลาดไทยในราคาเริ่มต้น 29,xxx6 ธ.ค. 68 11:00